VDO_การออกเสียงพินอิน
พินอิน หรือ Pinyin คือ ตัวหนังสือจีนเป็นตัวหนังสือรูปภาพ ไม่ใช่ตัวหนังสือที่เกิดจากการประสมพยัญชนะแบบภาษาไทยหรืออังกฤษ ทำให้ชาวต่างชาติที่เริ่มเรียนภาษาจีนประสบปัญหาการเรียนมาก แม้กระทั่งคนจีนเองก็เช่นกัน การจะจำตัวหนังสือให้ได้มากๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่ออำนวยความสะดวกในการเรียนตัวหนังสือจีน คนจีนจึงได้ประดิษฐ์ชุดอักษรที่ใช้ในการสะกดเสียงตัวหนังสือจีนหรือ “สัทอักษร”ขึ้นมา
ปัจจุบันนี้มีสัทอักษรใช้กันอยู่สองแบบใหญ่ๆคือ แบบ จู้อิน ZhuYin และแบบ พินอิน PinYin โดยจู้อินนั้นนิยมใช้ในไต้หวัน สิงคโปร์ ส่วนพินอิน นิยมใช้กันมากในจีนแผ่นดินใหญ่ และประเทศอื่นๆที่มีการติดต่อกับจีนแผ่นดินใหญ่ หรือขออาจารย์จากจีนแผ่นดินใหญ่ไปช่วยสอน รวมถึงประเทศไทยด้วย ทุกวันนี้การสอนภาษาจีนส่วนใหญ่ในประเทศไทยก็ใช้พินอิน
จู้อิน และ พินอิน มีหลักการใช้งานเหมือนกัน เพียงแต่สัญลักษณ์ที่นำมาใช้ไม่เหมือนกันเท่านั้น พินอินใช้ตัวอักษรโรมัน เช่น a, b, c เป็นต้น มาเป็นตัวพยัญชนะและสระ คนส่วนมากจะคุ้นเคยกับตัวอักษรนี้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องท่องจำเพิ่มเติม ส่วนจู้อิน เป็นสัญลักษณ์พิเศษเฉพาะ ผู้เรียนต้องท่องจำตัวสัญลักษณ์จู้อินเพิ่มเติม
ในที่นี้จะเรียกได้ว่า พินอินคือคำออกเสียงภาษาจีนกลางนั่นเอง
องค์ประกอบของสัทอักษรพินอิน
1. พยางค์
หน่วยเสียงพื้นฐานของระบบเสียงภาษาจีนกลางปัจจุบันคือพยางค์ แต่ละพยางค์ประกอบขึ้นจากหน่วยเสียง 3 ส่วน ได้แก่ พยัญชนะ สระและวรรณยุกต์ โดยทั่วไปแล้ว ตัวอักษรจีนหนึ่งตัวจะอ่านออกเสียงหนึ่งพยางค์
2. พยัญชนะ
พยัญชนะคือเสียงนำที่ขึ้นต้นในแต่ละพยางค์ ในภาษาจีนกลางมีพยัญชนะทั้งหมด 23 เสียง ได้แก่
b p m f d t n l g k h j q x zh ch sh r z c s y w.
3. สระ
b p m f d t n l g k h j q x zh ch sh r z c s y w.
3. สระ
สระหมายถึงเสียงที่ออกตามหลังพยัญชนะในแต่ละพยางค์ สระในภาษาจีนแบ่งออกเป็นเสียงสระล้วนและเสียงที่ประกอบขึ้นจากเสียงสระเป็นหลัก(เนื่องจากระบบเสียงภาษาจีนกลางได้รวมเอาเสียงตัวสะกดไว้กับเสียงสระ สระประเภทนี้จึงหมายถึงเสียงสระที่ประสมรวมกับเสียงสะกด ซึ่งเทียบได้กับเสียงตัวสะกดแม่กน /n/ และแม่กง/ng/ ในภาษาไทย) สระจำนวนหนึ่งสามารถประสมกันกลายเป็นสระประสม และเมื่อเรานำสระมาประสมไว้หลังพยัญชนะก็จะกลายเป็นพยางค์ในระบบสัทอักษรพินอิน ในภาษาจีนกลางมีสระทั้งหมด 36 เสียง ได้แก่
a o e i u ü ai ei ui ao ou iu ie üe an en in un ün ang eng ing ong er ia iao ian iang iong ua uo uai uan uang ueng üan.
4. การอ่านรวมเป็นพยางค์
a o e i u ü ai ei ui ao ou iu ie üe an en in un ün ang eng ing ong er ia iao ian iang iong ua uo uai uan uang ueng üan.
4. การอ่านรวมเป็นพยางค์
ในภาษาจีนกลาง มีพยัญชนะและสระอยู่จำนวนหนึ่งที่ประสมรวมกันเป็นเสียงพยางค์เฉพาะ เวลาอ่านเราจะไม่สะกดแบ่งพยางค์ประเภทนี้ออกเป็นเสียงพยัญชนะและเสียงสระ แต่จะอ่านรวมออกมาเป็นพยางค์ พยางค์เฉพาะเหล่านี้มีทั้งหมด 16 เสียง ได้แก่
zhi chi shi ri zi ci si ye yi yin ying wu yu yue yun yuan.
5. พยางค์ที่ไม่มีเสียงพยัญชนะ
zhi chi shi ri zi ci si ye yi yin ying wu yu yue yun yuan.
5. พยางค์ที่ไม่มีเสียงพยัญชนะ
นอกจากนี้หน่วยเสียงจำนวนหนึ่งในระบบเสียงภาษาจีนกลางจะไม่มีเสียงพยัญชนะ พยางค์ประเภทนี้เรียกว่า พยางค์ที่ไม่มีเสียงพยัญชนะ เช่น
ān 安 (สงบสุข); a 啊 (คำช่วยน้ำเสียง)
ān 安 (สงบสุข); a 啊 (คำช่วยน้ำเสียง)
กฎการเขียนสัทอักษรพินอิน
โดยทั่วไป สัทอักษรพินอินของพยางค์ต่างๆ ประกอบขึ้นจากการสะกดรวมของเสียงพยัญชนะและสระ จากนั้นจึงใส่เสียงวรรณยุกต์ประกอบเข้าไป กฎการเขียนและสะกดพยางค์ของพยัญชนะและสระมีดังนี้
1. พยัญชนะ j,q,x จะสะกดรวมกับสระที่ขึ้นต้นด้วยเสียง i และ ü เท่านั้น เมื่อพยัญชนะ j,q,x ประสมกับสระที่ขึ้นต้นด้วยเสียง ü จะต้องลดรูปจุดสองจุดบน ü เช่น
1. พยัญชนะ j,q,x จะสะกดรวมกับสระที่ขึ้นต้นด้วยเสียง i และ ü เท่านั้น เมื่อพยัญชนะ j,q,x ประสมกับสระที่ขึ้นต้นด้วยเสียง ü จะต้องลดรูปจุดสองจุดบน ü เช่น
ji, qi, xi
jia, qia, xia
ju, qu, xu
jue, que, xue
jun, qun, xun
jia, qia, xia
ju, qu, xu
jue, que, xue
jun, qun, xun
2. เมื่อพยางค์ที่ประกอบขึ้นจากสระที่ขึ้นต้นด้วยเสียง i และ ü ไม่มีเสียงพยัญชนะมาประกอบ จะต้องเปลี่ยนรูป i เป็น y และเปลี่ยนรูป u เป็น w เช่น
ia→ya uo→wo
3. เมื่อสระ ui,un,iu,ü ประกอบขึ้นเป็นพยางค์ด้วยตัวเอง จะต้องเขียนเป็น
3. เมื่อสระ ui,un,iu,ü ประกอบขึ้นเป็นพยางค์ด้วยตัวเอง จะต้องเขียนเป็น
ui→wei un→wen iu→you ü→yu
4. เครื่องหมายคั่นเสียง
4. เครื่องหมายคั่นเสียง
เมื่อพยางค์ที่ขึ้นต้นด้วยเสียง a, o, e อยู่หลังพยางค์อื่น และทำให้การสะกดแบ่งพยางค์ไม่ชัดเจน เราจะใช้เครื่องหมายคั่นเสียง(’)มาคั่นระหว่างพยางค์ เช่น
jī'è 饥饿 (หิวโหย) ; míng'é 名额 (จำนวนโควต้า)
jiè 借 (ยืม) ; mín'gē 民歌 (เพลงพื้นบ้าน)
jī'è 饥饿 (หิวโหย) ; míng'é 名额 (จำนวนโควต้า)
jiè 借 (ยืม) ; mín'gē 民歌 (เพลงพื้นบ้าน)
กฎการออกเสียง
1. เสียงวรรณยุกต์พื้นฐาน
เสียงวรรณยุกต์พื้นฐานในภาษาจีนกลางมี 4 เสียง ได้แก่
เสียงหนึ่ง เป็นเสียงสูง
เสียงสอง เป็นเสียงขึ้น
เสียงสาม เป็นเสียงต่ำ
เสียงสี่ เป็นเสียงตก
เสียงสอง เป็นเสียงขึ้น
เสียงสาม เป็นเสียงต่ำ
เสียงสี่ เป็นเสียงตก
เสียงวรรณยุกต์ทั้งสี่ใช้เครื่องหมาย ˉ,ˊ,ˇ และˋแทนตามลำดับ เครื่องหมายวรรณยุกต์ทั้งสี่จะเขียนไว้บนเสียงหลักของสระในแต่ละพยางค์ (เสียงหลักของสระหมายถึงเสียงที่ต้องอ้าปากกว้างและออกเสียงดังที่สุดในบรรดาเสียงที่ประกอบขึ้นเป็นสระ) เช่น
qiāng, qiáng, qiǎng, qiàng
tuī, tuí, tuǐ, tuì
เสียงวรรณยุกต์ในภาษาจีนกลางมีคุณสมบัติในการแยกความหมาย ดังนั้น หากเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน ความหมายก็จะต่างไปด้วย
2. เสียงเบา
พยางค์ประเภทหนึ่งเมื่ออยู่หลังพยางค์อื่นแล้วจะต้องอ่านออกเสียงสั้นและเบา พยางค์ประเภทนี้เรียกว่า เสียงเบา เวลาเขียนพยางค์ที่เป็นเสียงเบาจะไม่ใช้เครื่องหมายวรรณยุกต์ใดๆ กำกับ เช่น
hǎo ma? 好吗 (ดีไหม)
bō li 玻璃 (แก้ว, กระจก)
ในบางครั้งการอ่านพยางค์หลายๆ พยางค์ติดกัน เสียงวรรณยุกต์บางพยางค์จะเกิดการเปลี่ยนแปลง เสียงอ่านจะไม่เหมือนกับเวลาอ่านพยางค์นั้นโดยลำพัง การเปลี่ยนแปลงของเสียงวรรณยุกต์แบบนี้เรียกว่า การกลายเสียง รูปแบบการกลายเสียงมี 3 แบบด้วยกัน คือ
• เมื่อวรรณยุกต์เสียงสามอยู่ติดกันสองพยางค์ เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์หน้าจะกลายเสียงเป็นวรรณยุกต์เสียงสอง (แต่เวลาเขียน ให้คงเครื่องหมายวรรณยุกต์เดิม คือ เครื่องหมายวรรณยุกต์เสียงสามไว้) เช่น 你好“nǐ hǎo” ก็ต้องออกเสียงเป็น “ní hǎ
• เมื่อพยางค์วรรณยุกต์เสียงสามอยู่หน้าพยางค์วรรณยุกต์เสียงหนึ่ง เสียงสอง เสียงสี่และพยางค์เสียงเบาส่วนใหญ่ จะต้องกลายเสียงวรรณยุกต์เป็นเสียง “ครึ่งเสียงสาม” วรรณยุกต์เสียง “ครึ่งเสียงสาม”ก็คือ การออกเสียงสามเพียงครึ่งเสียงแรกที่เป็นเสียงตก เช่น
lǎo shī 老师 (ครู, อาจารย์)
yǔ yán 语言 (ภาษา)
• คำว่า “不” และ “一” ในภาษาจีนกลางจะมีการกลายเสียงเฉพาะ กล่าวคือ เมื่อ “不” และ “一” อยู่หน้าพยางค์เสียงสี่หรือพยางค์เสียงเบาที่กลายมาจากเสียงสี่ จะต้องออกเสียงว่า “bú” และ “yí” ตามลำดับ เช่น
bú shì 不是; yí gè 一个
แต่หากสองคำนี้อยู่หน้าพยางค์เสียงหนึ่ง เสียงสองและเสียงสาม ก็ยังคงออกเสียงเป็นเสียงสี่ตามเดิมว่า “bù” และ “yì” เช่น
bù shuō 不说; bù lái 不来; bù hǎo 不好
yì tiān 一天; yì nián 一年; yì qǐ 一起
4. พยางค์เสริมท้ายด้วยเสียง er
พยางค์เสริมท้ายด้วยเสียง er หมายถึง พยางค์ที่เกิดจากการเพิ่มเสียง er(-r) ต่อข้างท้ายเสียงสระ ในภาษาจีนกลางมีคำจำนวนมากที่มีการเสริมท้ายด้วยเสียง er เวลาเขียนสัทอักษรพินอินให้เพิ่มตัว r ต่อท้ายสระ หากเขียนเป็นตัวอักษรจีนให้เขียนตัว “儿” ต่อท้ายคำ เช่น
gēr 歌儿 (เพลง); huār 花儿 (ดอกไม้)
หากเป็นพยางค์มีสระที่ลงท้ายด้วยเสียง –i หรือ –n เมื่อจะประกอบเป็นพยางค์เสริมท้ายด้วยเสียง er ก็จะไม่ออกเสียง –i หรือ -n เช่น
xiǎo háir 小孩儿 (เด็ก); wánr 玩儿 (เล่น)
ความรู้ภาษาจีนดีมากครับ
ตอบลบเรียนภาษาอังกฤษ